ในยุคที่โลกธุรกิจขับเคลื่อนด้วยความรวดเร็วและการแข่งขันอย่างเข้มข้น หลายองค์กรต่างมุ่งเน้นไปที่การเติบโตและผลกำไรเป็นหลัก โดยอาจมองข้ามสิ่งที่สำคัญไม่น้อยไปกว่าเป้าหมายทางการเงิน นั่นคือ “จริยธรรมในการบริหารความเสี่ยง” ซึ่งเป็นปัจจัยที่เชื่อมโยงโดยตรงกับความยั่งยืนขององค์กรในระยะยาว
ความเสี่ยงในยุคการแข่งขันสูง จริยธรรมมักถูกละเลย
องค์กรจำนวนมากอาจเผชิญกับแรงกดดันในการลดต้นทุน เพิ่มผลกำไร หรือเร่งรัดกระบวนการผลิต ซึ่งอาจนำไปสู่การตัดสินใจที่ขาดจริยธรรม เช่น การเปลี่ยนสเปควัสดุก่อสร้างเพื่อลดต้นทุน หรือการเพิกเฉยต่อข้อกำหนดทางวิศวกรรม แม้พฤติกรรมเช่นนี้อาจไม่ผิดกฎหมายโดยตรง แต่เป็นการ ใช้ช่องว่างของกฎหมายและไม่ปฏิบัติตามข้อกำหนดด้านจริยธรรมและมาตรฐานวิชาชีพ (Compliance) อย่างชัดเจน
ในกรณีที่ความเสี่ยงดังกล่าวอยู่ในระดับต่ำ องค์กรอาจสามารถรับมือได้เองโดยไม่กระทบต่อสังคมหรือสิ่งแวดล้อม แต่หากความเสี่ยงมีระดับสูง ผลกระทบที่ตามมาอาจรุนแรงถึงขั้นเป็นโศกนาฏกรรมที่ย้อนกลับมาแก้ไขไม่ได้ ตัวอย่างเช่น การถล่มของอาคาร หรืออุบัติเหตุร้ายแรงจากโครงการก่อสร้างที่ละเลยมาตรฐาน
ระดับความเสี่ยงที่องค์กรควรพิจารณา
การจำแนกระดับความเสี่ยงเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้องค์กรสามารถประเมินและบริหารความเสี่ยงได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยสามารถแบ่งได้เป็น 3 ระดับ ได้แก่:
- ความเสี่ยงระดับต่ำ: หากเกิดความล้มเหลว องค์กรสามารถจัดการได้ภายในหน่วยงานโดยไม่กระทบต่อภาพรวม
- ความเสี่ยงระดับกลาง: ความล้มเหลวในระดับนี้อาจทำให้โครงการหยุดชะงัก ต้องใช้ทรัพยากรจากภายนอกเข้ามาช่วย และส่งผลกระทบต่อสังคมในระดับที่ได้รับความสนใจจากสื่อภายในประเทศ
- ความเสี่ยงระดับสูง: หากโครงการล้มเหลวในระดับนี้ จะมีผลกระทบรุนแรงต่อสิ่งแวดล้อม ชีวิตมนุษย์ รวมถึงชื่อเสียงขององค์กร อาจกลายเป็นข่าวที่เผยแพร่ไปทั้งในประเทศและต่างประเทศ
“จริยธรรม” รากฐาน การบริหารความเสี่ยง
หัวหน้าโครงการหรือผู้บริหารองค์กรควรมีบทบาทหลักในการประเมินความเสี่ยงอย่างรอบด้าน โดยเฉพาะในระดับที่สูงสุด ซึ่งมักเกี่ยวข้องกับชีวิตผู้คนและสิ่งแวดล้อม หากเกิดอุบัติเหตุร้ายแรง การสอบสวนมักชี้ให้เห็นว่า ปัญหาไม่ได้เกิดจากความผิดพลาดทางวิศวกรรมเพียงอย่างเดียว แต่เกิดจากการ ขาดจริยธรรมในการบริหารจัดการ เช่น การละเลยข้อกำหนดมาตรฐาน ความไม่โปร่งใส และความไม่รับผิดชอบของผู้เกี่ยวข้อง
ความสำคัญของ Compliance
Business Compliance คือการที่องค์กรดำเนินงานอย่างถูกต้องตามกฎหมาย ระเบียบข้อบังคับ มาตรฐานอุตสาหกรรม และจริยธรรมที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นกฎหมายแรงงาน ภาษี ความปลอดภัยของข้อมูล หรือข้อกำหนดเฉพาะของแต่ละธุรกิจ
ระบบตรวจสอบภายในที่ไม่โปร่งใส การบิดเบือนข้อมูลทางบัญชีเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัว และการมอบหมายงานให้กับบุคคลที่ขาดความรู้ด้านกฎเกณฑ์ ล้วนแล้วแต่เป็นความเสี่ยงที่สร้างความเปราะบางให้กับองค์กร ทั้งในด้านการดำเนินงานและภาพลักษณ์ หากองค์กรไม่ใส่ใจใน Compliance ความล้มเหลวก็อาจเกิดขึ้นได้ง่าย แม้จะมีระบบควบคุมที่ดูเข้มแข็งเพียงใดก็ตาม
ทั้งนี้ หากองค์กรมีการสนับสนุนระบบ Whistleblower เพื่อเปิดโอกาสให้บุคลากรสามารถกล้าออกมาให้ข้อมูลหรือชี้ปัญหาที่ไม่เป็นธรรมภายในองค์กรได้อย่างปลอดภัยและไม่ถูกตอบโต้ ก็จะช่วยให้องค์กรสามารถระบุความเสี่ยงเชิงจริยธรรมได้รวดเร็วขึ้น และป้องกันปัญหาก่อนจะลุกลามเป็นเรื่องใหญ่
บทลงโทษที่มีประสิทธิภาพคือบทเรียนของสังคม
หากการลงโทษต่อผู้กระทำผิดทางจริยธรรมยังคงล่าช้าหรือไม่จริงจัง จะยิ่งทำให้พฤติกรรมละเลยกฎเกณฑ์กลายเป็นเรื่อง “ปกติ” ขององค์กร การบังคับใช้กฎหมายอย่างเที่ยงตรง โปร่งใส และรวดเร็ว จึงเป็นกลไกสำคัญในการสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่ยึดหลักคุณธรรม
กรณีศึกษา: องค์กรที่ยึดมั่นในจริยธรรมเหนือผลกำไร
หนึ่งในกรณีศึกษาที่น่าสนใจ คือบริษัทรับเหมาก่อสร้างรายใหญ่แห่งหนึ่ง ที่ตัดสินใจ ไม่เข้าร่วมประมูลงานของภาครัฐ เนื่องจากไม่สามารถลดมาตรฐานเพื่อแข่งขันด้านราคาได้ ดังคำกล่าวเคยกล่าวไว้ว่า “ของดี ราคาถูก ไม่มีในโลก” ซึ่งสะท้อนชัดถึงจุดยืนขององค์กรที่มอง “คุณธรรม” และ “คุณภาพ” เป็นรากฐานของการดำเนินธุรกิจ แม้อาจต้องแลกด้วยโอกาสในการแข่งขัน ซึ่งถือว่าเป็นหนึ่งในแนวทางการจัดการงานก่อสร้างที่มีจุดยืนชัดเจนและเกิดประโยชน์ต่อส่วนรวมมากกว่าผลประโยชน์ส่วนตัว
สู่การเติบโตอย่างยั่งยืน
สุดท้าย การบริหารความเสี่ยง ที่แท้จริงไม่ใช่แค่การประเมินความเสียหาย แต่คือการป้องกันไม่ให้ความเสี่ยงนั้นเกิดขึ้นผ่านการยึดมั่นในจริยธรรม ความโปร่งใส และการตรวจสอบที่เข้มข้นและต่อเนื่อง องค์กรที่มีวัฒนธรรมเช่นนี้ จะสามารถเติบโตได้อย่างมั่นคง ปลอดภัย และเป็นที่ยอมรับในสายตาสาธารณชน
“จริยธรรมและความโปร่งใส ไม่ใช่ทางเลือก… แต่คือหัวใจของการบริหารองค์กรในยุคปัจจุบัน”