มีสุภาษิตแอฟริกันบทหนึ่งกล่าวไว้ว่า
“When the stomach is empty, it sends signals. But when the mind is empty, it sends none.”
เมื่อท้องว่าง มันจะส่งสัญญาณ แต่เมื่อสมองว่าง มันไม่ส่งสัญญาณใด ๆ
สุภาษิตนี้ให้บทเรียนลึกซึ้งที่สามารถประยุกต์ใช้กับโลกขององค์กรได้อย่างชัดเจน ในโลกธุรกิจ เมื่อ “ท้องว่าง” หรือเมื่อองค์กรประสบปัญหาทางการเงิน เช่น ยอดขายตก กำไรหาย เงินสดขาดมือ สัญญาณความทุกข์จะชัดเจนและรุนแรง ทุกคนตื่นตัว เพราะรู้ว่าวิกฤตกำลังมาเยือน
แต่ตรงกันข้าม เมื่อ “สมองว่าง” หรือองค์กรกำลังล้าหลังทางปัญญา ขาดการเรียนรู้ ขาดการตั้งคำถาม และไม่ตระหนักว่ากำลังกลายเป็นองค์กรที่ “ไม่รู้ว่าตัวเองไม่รู้” — กลับไม่มีสัญญาณเตือน เพราะมีองค์กรจำนวนไม่น้อยที่ไม่เคยวัด ความฉลาดขององค์กร มีเพียงความนิ่งเงียบที่แฝงไว้ด้วยอันตราย
กรณีศึกษา: โกดัก (Kodak)
โกดักเคยเป็นผู้นำระดับโลกในธุรกิจฟิล์มถ่ายภาพ แต่กลับล้มละลายในปี 2012 ทั้งที่เป็นผู้คิดค้น “กล้องดิจิทัล” คนแรกในโลกตั้งแต่ปี 1975 ปัญหาไม่ใช่การเงินในตอนแรก แต่เป็น “ความว่างของสมององค์กร”
ผู้บริหารไม่เชื่อว่าโลกจะเปลี่ยนจากฟิล์มไปเป็นดิจิทัล และกลัวว่านวัตกรรมใหม่จะทำลายธุรกิจเดิมของตนเอง จึงเลือกที่จะไม่ฟัง ไม่เรียนรู้ และไม่เปลี่ยนแปลง จนในที่สุดคู่แข่งแซงหน้า และผู้บริโภคเปลี่ยนพฤติกรรมไปโดยไม่หันกลับมา
กรณีศึกษา: โนเกีย (Nokia)
โนเกียเคยเป็นอันดับหนึ่งของโทรศัพท์มือถือโลก แต่ไม่ตระหนักถึงแนวโน้มของ “สมาร์ตโฟน” และระบบปฏิบัติการที่เปิดกว้างแบบ Android หรือ iOS โนเกียยังเชื่อว่าโทรศัพท์ที่ดีคือฮาร์ดแวร์ที่ทนทาน ไม่ใช่ซอฟต์แวร์ที่ฉลาด ผลลัพธ์คือ สูญเสียตำแหน่งผู้นำในเวลาไม่กี่ปี และต้องขายกิจการให้ไมโครซอฟท์
“We didn’t do anything wrong, but somehow, we lost.”
คำพูดนี้สะท้อนว่า “ความไม่รู้ตัวว่าตัวเองกำลังล้าหลัง” อันตรายแค่ไหน
อาการขององค์กรที่สมองว่าง
- ยึดติดกับวิธีการเดิม ๆ
- ปฏิเสธแนวคิดใหม่ ๆ
- ขาดความหลากหลายทางความคิด
- ไม่มีพื้นที่ให้ตั้งคำถาม
สิ่งเหล่านี้ทำให้เกิด “ความโง่แบบเงียบ ๆ” ที่กัดกินองค์กรโดยไม่มีใครรู้ตัว และยิ่งเรื้อรังเป็นผลเสียที่เกิดขึ้นหากพนักงานไม่มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับกิจการแบบจริง ๆ ซึ่งรากเหง้ามักมาจากพฤติกรรมขององค์กรเอง เช่น การยึดติดกับวิธีการเดิม ๆ การปฏิเสธแนวคิดใหม่ ๆ การขาดความหลากหลายทางความคิด และการไม่เปิดพื้นที่ให้ตั้งคำถาม
ผลที่เกิดขึ้นต่อองค์กร
- ผลประกอบการณ์ ในด้านต่างๆ ล้มเหลว ไม่เป็นไปตามเป้าหมายเสมอๆ เช่น โครงการใช้งบประมาณเกินกว่าที่ตั้งไว้ หรือ เสร็จช้า หรือ คุณภาพของสินค้าไม่ตรงกับความคาดหวังของลูกค้า
- ทักษะ ขององค์กรและพนักงาน ไม่สอดคล้องกับแผนกลยุทธ แผนธุรกิจ และเป้าหมาย
- องค์กรพึ่งพาความช่วยเหลืออย่างมากจากภายนอก
- งานไม่ก้าวหน้าทั้งๆ ที่ ใช้ความพยายามอย่างมากในการผลักดัน
- ผู้บริหาร ต้องเข้ามาใช้เวลามากในการล้วงลูก ตามติด คอยจิก เพื่อให้งานก้าวไปข้างหน้า
- Feedback จากลูกค้า หรือผู้มีส่วนได้เสีย ในคุณภาพ และบริการ ไม่ดี ซึ่งมักเป็น ผลเสียที่เกิดขึ้น หากพนักงานไม่มีความรู้เกี่ยวกับกิจการ ทำให้ไม่เข้าใจภาพรวม และไม่สามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้อย่างเหมาะสม
วิธีป้องกันไม่ให้สมององค์กรว่างเปล่า
- สร้างวัฒนธรรมแห่งการเรียนรู้ – สนับสนุนการคิด วิเคราะห์ และทดลอง
- ตั้งคำถามกับความสำเร็จในอดีต – อย่าปล่อยให้อดีตกลายเป็นกรง
- เปิดรับคนคิดต่าง – ไม่ใช่แค่รับเข้ามา แต่ต้องให้เขา “มีเสียง”
- ประเมินสมรรถนะทางปัญญาองค์กร – มีระบบสะท้อน ปรับตัว และเรียนรู้ร่วมกัน
องค์กรที่ล้มเหลวทางการเงินยังมีโอกาสฟื้น เพราะมีสัญญาณเตือน แต่ถ้าองค์กรล้มเหลวทางปัญญาโดยไม่รู้ตัว — นั่นคือหายนะแบบเงียบที่ยากจะแก้ไข
จงอย่ารอให้ “สมองว่าง” แล้วองค์กรพังโดยไม่รู้ตัว เพราะการไม่รู้ตัวว่าตนเองไม่รู้ คืออันตรายที่สุด