ในโลกของการตลาดออนไลน์คุณอาจคุ้นชินกับการทำ SEO การทำ Google Ads และโฆษณาออนไลน์ในช่องทางต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น Tiktok Ads หรือ Line Ads มาบ้างแล้ว และอาจเคยได้ยินเกี่ยวกับ Sale Page และ Landing Page ซึ่งหลายคนยังงงๆ ว่าคืออะไร ต่างกันอย่างไร แบบไหนคือ Landing Page แบบไหนคือ Sale Page และทั้งสองอย่างนี้คือเว็บไซต์หรือเปล่า ถ้าใช่ แล้วมันต่างกับเว็บไซต์ปกติอย่างไร

ซึ่งบทความนี้เราจะมาเจาะลึกเกี่ยวกับ Landing Page เพื่อให้ทุกคนเข้าใจตรงกัน เวลามีบริษัทรับทำเว็บไซต์มาแนะนำให้ทำจะได้รู้ว่าแบบไหนจะตอบโจทย์ธุรกิจมากที่สุด และควรนำไปปรับใช้อย่างไรในแคมเปญการตลาดเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพให้กับการโฆษณา

เว็บไซต์สำคัญอย่างไรในการทำการตลาดออนไลน์

เว็บไซต์ถือเป็นช่องทางขายของออนไลน์ที่สำคัญที่สุดในการทำการตลาดบนโลกดิจิทัล เพราะมันคือสิ่งที่จะช่วยเก็บข้อมูลลูกค้าสำหรับการทำ Data Driven Marketing และปิดการขายได้ โดยจากประสบการณ์ของ HardcoreCEO เราได้พบหลายธุรกิจที่นำเว็บไซต์ไปลงโฆษณาแล้วไม่เกิดยอดขาย หรืออาจมีการเพิ่มสินค้าลงตะกร้า (Add to Cart) แต่กลับไม่มีการสั่งซื้อ ซึ่งเป็นเรื่องปกติที่จะเกิดขึ้นได้ โดยสิ่งที่สำคัญคือการเก็บข้อมูล และนำมาวิเคราะห์เพื่อปรับปรุงให้ถูกจุด (บางครั้งก็ต้องลองกันหลายครั้งกว่าจะเจอจุดที่ส่งผลต่อยอดขาย)

เมื่อรู้แล้วว่าเว็บไซต์นั้นสำคัญ ทีนี้เรามาลองเจาะลึกในเรื่องของ Landing Page กัน

Landing Page คืออะไร

Landing Page คือ หน้าเว็บไซต์ที่ผู้ใช้หรือลูกค้าเป้าหมายคลิกเข้ามาชม ไม่ว่าจะมาจากการคลิกผ่านโฆษณา หรือ Social Media ก็ตาม ซึ่งหน้านี้มักเรียกว่า Destination URL หรือ Final URL แปลง่ายๆ คือหน้าปลายทางที่ผู้ใช้จะคลิกเข้ามาเจอ

ดังนั้น ไม่ว่าหน้านั้นคือหน้าอะไร เราจะเรียกว่าหน้า Landing Page

ซึ่งบางธุรกิจก็ใช้หน้า Home เป็น Landing Page ในขณะที่บางธุรกิจอาจใช้หน้า Product เป็น Landing Page หรือบางธุรกิจอาจสร้างหน้าแยกออกมาเฉพาะเพื่อใช้สำหรับเป็น Landing Page จากโฆษณา เช่น ถ้าลงโฆษณา Google ใช้ Landing Page A และถ้าลงโฆษณา Facebook ใช้ Landing Page B

ทำไมต้องสร้างหน้า Landing Page แยกออกมาเยอะแยะ? เพราะแต่ละ Platform ไม่ว่าจะเป็น Google หรือ Facebook รวมถึงกลุ่มเป้าหมายแต่ละกลุ่มอาจต้องการที่จะเห็นเนื้อหาที่ต่างกัน เช่น คนที่คลิกมาจาก Google อาจต้องการเห็นรายละเอียดของสินค้า ความเชี่ยวชาญของธุรกิจ ในขณะที่คนที่คลิกเข้ามาจาก Facebook อาจต้องการเห็นรีวิว Product Key Features

การออกแบบหน้า Landing Page ให้ตรงกับกลุ่มเป้าหมาย จะช่วยเพิ่มโอกาสในการปิดการขายได้มากขึ้น

อย่างไรก็ตาม แต่ละธุรกิจแตกต่างกันไป บางธุรกิจก็ใช้หน้า Landing Page เดียวกัน ไม่ว่าจะลงโฆษณาบนช่องทางไหน หรือกลุ่มเป้าหมายไหน ทั้งนี้ต้องลองเก็บข้อมูลมาวิเคราะห์ และทำการทดสอบ (Split Test) อย่างต่อเนื่อง เพราะในการเริ่มลงทุนทำธุรกิจในยุคนี้การทดสอบเพื่อให้เข้าใจความต้องการของลูกค้านั้นสำคัญมาก

ประเภทของ Landing Page มีอะไรบ้าง

ถ้าใครได้เคยลองติดต่อเอเจนซี่ที่รับทำเว็บไซต์ หรือลองดูข้อมูลระบบเว็บไซต์สำเร็จรูปในตลาด จะเจอทั้งคำว่า รับทำเว็บไซต์, รับทำ One-page Website, รับทำ Landing Page และ รับทำ Sale Page ซึ่งก็จะทำให้เกิดอาการมึนเล็กน้อยว่าแต่ละอันมันต่างกัน หรือเหมือนกันอย่างไร เวลาถามบริษัทนึงก็บอกว่าต้อง Sale Page เท่านั้น ในขณะที่อีกบริษัทบอกว่า Landing Page ก็เหมือน Sale Page เนี่ยแหละ

แต่ถ้าใครอ่านมาถึงตรงนี้ก็จะเข้าใจแล้วนะครับว่า Landing Page หมายถึง หน้าอะไรก็ได้ที่เป็นปลายทางจากโฆษณาที่ผู้ใช้จะคลิกเข้ามาเจอ ไม่ว่าจะเป็นเว็บไซต์ทั่วไป เว็บไซต์หน้าเดียว หรือหน้า Sale Page หากเราใช้หน้านั้นๆ เป็นหน้าปลายทางจากโฆษณา หน้านั้นคือ Landing Page

อ่านแล้วอาจดูเหมือนเราย้ำซ้ำๆ เนื่องจากอยากให้เข้าใจตรงกันเกี่ยวกับ Landing Page ก่อน จะได้ไม่งงครับ

ทีนี้เรามาลองดู Landing Page แต่ละประเภทกัน

ใช้หน้า Home Page เป็น Landing Page

หน้า Home Page หรือหน้าแรกของเว็บไซต์มักประกอบไปด้วยข้อมูลมากมาย สรุปข้อมูลทั้งหมดบนเว็บไซต์ และเชื่อมต่อไปยังเพจอื่นๆ บนเว็บไซต์ ซึ่งจะเหมาะกับการนำหน้านี้มาใช้เป็น Landing Page แค่บางกรณี และบางธุรกิจเท่านั้น

สาเหตุที่ Home Page อาจไม่เหมาะในการใช้เป็น Landing Page ในหลายธุรกิจเนื่องจากผู้ใช้จะได้แค่ข้อมูลภาพรวบของบริษัทเท่านั้น แต่อาจยังไม่ได้ข้อมูลเจาะจงในสินค้าหรือบริการ ซึ่งต้องเสียเวลามาหาเมนูหรือปุ่มเพื่อคลิกไปยังเนื้อหาที่ต้องการ ซึ่งถ้าเว็บไซต์ออกแบบมาใช้งานยาก UX/UI ไม่เป็นมิตรต่อผู้ใช้ ผู้ใช้ก็จะปิดเว็บไซต์ทันที

สำหรับธุรกิจที่เข้าใจง่าย ไม่ซับซ้อน เช่น บริการรับทำบัญชี ที่มีเพียง 2-3 บริการย่อยๆ และเป็นบริการที่ลูกค้าทราบอยู่แล้วว่าคืออะไร แบบนี้หน้า Home Page อาจเป็นประโยชน์ เพราะผู้ใช้จะได้เห็นภาพรวมบริการแบบครบวงจรและความน่าเชื่อถือของบริษัท

แต่หากเป็นบริการบัญชีเหมือนกัน ซึ่งต้องการลงโฆษณา Facebook นำเสนอโปรโมชันเฉพาะเจาะจงสำหรับบริการใดบริการหนึ่ง แบบนี้หน้า Home Page อาจไม่เหมาะแล้ว ควรจะส่งผู้ใช้ไปที่หน้าโปรโมชันโดยตรงเพื่อประหยัดเวลา และเพื่อให้ผู้ใช้ได้ข้อมูลที่กำลังมองหา

Lead Generation Landing Page

Lead Generation คือแคมเปญการตลาดที่มีเป้าหมายในการเก็บ Lead หรือข้อมูลผู้ใช้จากการลงทะเบียน หรือส่งข้อมูลผ่าน Contact Form ซึ่ง Lead Generation Landing Page ก็ถือหน้าที่มีแบบฟอร์มให้ลูกค้ากรอก พร้อมคำโปรยหรือข้อเสนอที่ช่วยกระตุ้นให้ลูกค้าตัดสินใจกรอกแบบฟอร์ม

เราจะเห็นการใช้ Lead Generation Landing Page ในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ สัมนาออนไลน์ และรถยนถ์ เช่น ลงทะเบียนเพื่อรับส่วนลด 100,000 บาท สำหรับคอนโด 20 ยูนิตแรก หรือ ลงทะเบียนเพียงให้เซลขับรถไปให้คุณลองถึงบ้าน ฟรี

ลองนึกภาพดูว่า ถ้าเราเจอโฆษณาคอนโดบอกว่า ลงทะเบียนเพื่อรับส่วนลด 100,000 บาท สำหรับคอนโด 20 ยูนิตแรก แต่เมื่อคลิกโฆษณาไปแล้ว ดันไปที่หน้า Home Page ที่มีเนื้อหาหลากหลายโครงการทั้งบ้านเดี่ยว ทาวน์โฮม คอนโด แบบนี้เราก็คงจะงงและสงสัยว่าจะต้องลงทะเบียนตรงไหน

ดังนั้น หากจุดประสงค์ของการโฆษณาคือการเก็บ Lead ก็ควรสร้างหน้าแยกออกมา และออกแบบหน้านั้นให้พร้อมและเหมาะสำหรับการเก็บ Lead และนำหน้านี้ไปใช้เป็น Landing Page

Click-Through Landing Page

ถ้าพูดถึงหน้า Lead Generation Landing Page เราก็จะนึกถึงการกระตุ้นให้ผู้ใช้กรอกแบบฟอร์มทันทีใช่ไหมครับ แต่ถ้าเป็นหน้า Click-Through Landing Page อันนี้จะมีเพื่อให้ผู้ใช้คลิกไปหน้าต่อไป

บางคนอาจสงสัยว่าทำไมต้องสร้างหน้า A เพื่อให้ผู้ใช้คลิกไปหน้า B .. ทำไมไม่เอาหน้า B มาเป็น Landing Page เลย

เหตุผลเพราะ บางแคมเปญในบางธุรกิจ การขายตรงๆ หรือ การ Hard Sell หรือการกระหน่ำโน้มน้าวให้ผู้ใช้กระทำ Action บนเว็บไซต์ เช่น โทรเลย ซื้อเลย หรือ ลงทะเบียนเลย เยอะเกินไป จะไม่ได้ช่วยให้ผลตอบรับดีขึ้น

เช่น​ YouTube Premium ถ้าลองคลิกเข้าไปที่ https://www.youtube.com/premium จะเห็นได้ว่าหน้าเว็บไม่ได้เน้นขาย หรือเน้นให้ลงทะเบียน แต่เน้นนำเสนอจุดเด่น และสิ่งที่ลูกค้าจะได้รับอย่างชัดเจน โดยหากลูกค้าสนใจ ก็จะกระตุ้นให้ไปทดลองใช้งานฟรี หน้านี้จึงเรียกว่า Click-Through Landing Page เพราะเป็นหน้าทางผ่าน (หน้า A) ที่มีเป้าหมายให้ผู้ใช้คลิกไปที่หน้าทดลองใช้งานฟรี (หน้า B)

หรือในบางธุรกิจอย่างธุรกิจทางการแพทย์ เช่น รักษาโรคไต รักษาเด็ก จะไม่เน้นให้ผู้ใช้คลิกเข้ามาเพื่อลงทะเบียน แต่จะเน้นให้คลิกเข้ามาอ่านบทความ ความรู้เกี่ยวกับโรคและการรักษา จากนั้นก็อาจจะมีปุ่มโทร เพื่อให้โทรปรึกษา เป็นต้น

Sales Page

Sale Page คือหน้า Landing Page ที่มีจุดประสงค์มุ่งเน้นการปิดการขายเป็นหลัก

Sales Page เป็นอีกหนึ่งประเภทของ Landing Page ที่คนไทยคุ้นหูมากที่สุด ซึ่งเป้าหมายของ Sale Page ก็คือการเน้นการขายตามชื่อเลย อย่างเช่น ถ้าเป็นธุรกิจ E-commerce หน้า Sale Page ก็คือหน้าสินค้า โดยการออกแบบ Sale Page ก็จะมีทั้งภาพ รีวิว ราคา โปรโมชั่น คำอธิบายอย่างลึก พร้อมปุ่มสั่งซื้อ ครบ อีกทั้งบางเว็บไซต์จะมีการกระตุ้นด้วยเวลาที่นับถอยหลังเรื่อยๆ เช่น มีส่วนลด 50% ถ้าไม่ซื้อใน 10 นาทีนี้ก็อดเลย

ซึ่งหากเป็นธุรกิจบริการ หรือเว็บไซต์ขายสินค้าที่ไม่ใช่ E-commerce ก็สามารถทำ Sale Page ได้เหมือนกัน โดยอาจใช้วิธีสร้างหน้าแยกออกมาสำหรับแต่ละสินค้าหรือบริการ

การใช้ Sale Page เป็น Landing Page จะเหมาะกับธุรกิจที่เรียกว่า Low Involvement หรือธุรกิจที่ลูกค้าตัดสินใจซื้อง่ายๆ ไม่ต้องใช้เวลาตัดสินใจนาน อย่างเช่น Lazada และ Shopee สินค้าจะอยู่ในประเภท Low Involvement เป็นส่วนใหญ่ นั่นคือสาเหตุที่ทำไมเราเข้าแอปแล้วต้องเสียเงินทุกที ซึ่งการใช้ Sale Page สามารถวัดผล ROAS หรือ Return on Ads Spend ได้ด้วย

แต่ถ้าธุรกิจอย่าง อสังหาริมทรัพย์ หรือรถยนต์ การใช้ Lead Generation Landing Page จะเหมาะกว่า เนื่องจากเป็นสินค้า High Involvement ลูกค้าจะใช้เวลาในการพิจารณาและตัดสินใจ

การออกแบบ Sale Page เป็นเรื่องสำคัญมาก เพราะไม่ใช้นึกจะหยิบใส่เนื้อหา หรือภาพอะไรก็ใส่ๆ ไป แบบนี้ไม่น่าทำให้ขายได้ เจ้าของสินค้าควรรู้ว่าลูกค้านั้นต้องการอะไร จุดเด่นอะไรในสินค้าที่เหนือคู่แข่งและสามารถกระตุ้นให้ลูกค้าซื้อได้ และที่สำคัญ การสื่อสารต้องชัดเจน ไม่ใช่บอกว่าถ้าซื้อเลยลด 50% แต่ถ้าคลิกไปซื้อใน Line ให้ส่วนลดอีก 50 บาท แบบนี้ถือว่าข้อความกำกวม และทำให้ผู้ใช้งงได้ว่าแบบไหนคุ้มกว่า และยังไม่ตัดสินใจซื้อ

Microsite

Microsite คือเว็บไซต์ที่แยกออกมาจากเว็บไซต์หลัก โดยอาจจะมีการใช้ชื่อโดเมนแตกต่างจากเว็บไซต์หลัก หรืออาจใช้ Sub-domain เช่น promotion.hardcoreceo.co ก็ได้

จุดประสงค์ของการทำ Microsite คือ การนำเสนอเนื้อหาพิเศษที่นอกเหนือจากเว็บไซต์หลัก และเนื้อหานั้นอาจต้องมีการลงรายละเอียดอยู่บ้าง อย่างเช่น แบรนด์ AA ขายกล้องวงจรปิด โดยทางแบรนด์มีโครงการ CSR ช่วยเหลือเด็กต่างจังหวัดเรื่องอาหาร ทางแบรนด์ก็อาจทำ Microsite แยกมาสำหรับโครงการนี้ ชื่อว่า FoodWithAA.com เป็นต้น

หรือ เว็บไซต์ E-commerce ชื่อ RoomBB.com ขายเครื่องใช้ในบ้าน ต้องการทำ Content Marketing​ โดยสร้างบทความที่เป็นประโยชน์ต่อลูกค้า จึงสร้าง Microsite มาเพื่อลงเนื้อหาบทความอย่างเดียวใน Sub-domain ของเว็บไซต์หลัก blog.RoomBB.com

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ Landing Page

หากคุณชอบบทความนี้ หรือเรื่องราวธุรกิจในยุคดิจิทัลแบบนี้ สามารถเข้ามาที่ www.hardcoreceo.co ได้ทุกสัปดาห์ (หรือค้นหา HardcoreCEO บน Google)

และที่สำคัญ Follow เราบน Facebook HardcoreCEO พร้อมกด See First เพื่อรับบทความธุรกิจสดๆ ร้อนๆ ก่อนใครจาก HardcoreCEO

เขียนโดย: HardcoreCEO

• Facebook
• Twitter
• Line