ผ่านมาถึงต้นปี 2021 แล้ว เชื่อว่าหลายคนเริ่มปรับตัวกับวิถีชีวิตใหม่หรือที่เรียกกันติดปากว่า ‘New Normal’ กันมาพอสมควรแล้ว ตั้งแต่การใส่หน้ากาก พกแอลกอฮอล์เวลาที่ต้องออกไปนอกบ้าน หรือแม้กระทั่งบางคนที่ต้องทำงานแบบ Work From Home เพื่อลดความเสี่ยงที่จะติดโรคด้วยการออกไปอยู่ในที่ที่มีคนจำนวนมาก เป็นต้น
ซึ่งในช่วงแรกๆ ของการทำงานแบบ Work From Home อาจจะติดขัดตะกุกตะกักไปบ้าง ทั้งเรื่องการทำงาน การประสานงาน การติดต่อสื่อสารกับฝ่ายต่างๆ ของบริษัท หรือแม้กระทั่งประสิทธิภาพการทำงานที่อาจจะลดลง เพราะแน่นอนว่าการทำงานในบรรยากาศสบายๆ ขณะอยู่ที่บ้านก็สามารถพาให้คุณชิลจนเสียงานได้ในบางที… หรือในทางกลับกัน ในบางคนก็อาจจะทำงานเยอะเกินไปแบบ 24/7 จนกินเวลาส่วนตัวอื่นๆ แล้วก็พาลให้เสียไปถึงเรื่องสุขภาพด้วย
แต่เมื่อผ่านไปสักพักหลายคนก็เริ่มปรับตัวได้ เริ่มมองเห็นข้อดีหลายๆ อย่างของการ Work From Home อาทิ มีเวลาอยู่กับครอบครัวมากขึ้น ได้ทักษะใหม่ๆ เพิ่มขึ้น ทั้งการทำอาหาร ปลูกต้นไม้ หรือการได้ลงคอร์สเรียนเพื่อเพิ่มศักยภาพตัวเองในด้านต่างๆ และที่สำคัญการทำงานอยู่บ้านแบบ Work From Home ยังสามารถช่วยลดค่าใช้จ่ายรายเดือนของหลายๆ คนได้
การ Work From Home ในมุมของผู้ประกอบการ
ในมุมของผู้ประกอบการหรือเจ้าของธุรกิจเองก็เช่นกัน ด้วยสภาวะเศรษฐกิจฟื้นตัวได้ยาก นอกจากจะต้องมองหากลยุทธ์การขายและการตลาดแล้ว ยังต้องบริหารการทำงานของพนักงาน รวมถึงเริ่มมองหาวิธีการบริหารเงินในธุรกิจของตนเอง เช่น การลดรายจ่ายของบริษัทด้วยวิธีการต่างๆ และการ Work From Home ทำให้ทราบว่า “ไม่ต้องมีสำนักงานก็ทำงานได้!” ฉะนั้นการลดภาระค่าเช่าสำนักงานหรืออาคารสำหรับบริษัทก็อาจเป็นทางเลือกที่ดีอีกทางหนึ่งในการทำธุรกิจในวิถี New Normal นี้
TDRI (สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย) เผยผลสำรวจการทำงานที่บ้านทำให้องค์กรสามารถลดค่าใช้จ่ายสุทธิได้ประมาณ 50,429 บาท ในเดือนเมษายน 2563 เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปี 2562 โดยจำแนกเป็นค่าไฟฟ้าที่ลดลง 33,493 บาท ค่าน้ำมันรถยนต์ที่ลดลง 19,764 บาท ค่าน้ำประปาที่ลดลง 583 บาท
และก็เช่นเดียวกัน… เมื่อมีข้อดีก็ย่อมมีข้อเสีย ใช่ว่าปัญหาการบริหารจัดการงานจะมีแค่ภาคส่วนของพนักงานหรือลูกจ้างเท่านั้น เจ้าของบริษัทหรือผู้ประกอบการเองก็เช่นกัน ที่อาจจะต้องรับมือกับปัญหา ทั้งเรื่องการทำงานของพนักงานที่มีประสิทธิภาพลดลง อันสืบเนื่องมาจากปัญหาส่วนตัว เช่น ไม่สามารถแบ่งเวลาการทำงานกับเวลาทำกิจกรรมส่วนตัวออกจากกันได้ หรือแม้กระทั่งปัญหาส่วนรวม เช่น การสื่อสารระหว่างทีมงานผิดพลาดติดขัดส่งผลกระทบต่อการทำงาน
ฉะนั้นวันนี้ HardcoreCEO จึงมี 5 วิธีที่จะช่วยให้การบริหารทีมงานที่ต้อง Work From Home ให้ได้ประสิทธิภาพสูงสุดมาให้ได้ลองไปปรับใช้กับองค์กรหรือบริษัทของคุณ
5 วิธีบริหารทีมงานที่ต้อง Work From Home ให้ได้งานประสิทธิภาพสูงสุด
WFH อย่างไรให้ได้งาน เพิ่มความสามารถในการทำงานเป็นทีม ให้การทำงานที่บ้านมีประสิทธิภาพไม่แพ้การนั่งทำงานที่ออฟฟิศ? มาดูไปพร้อมๆ กันเลย!
1. กำหนดกฎระเบียบหรือเงื่อนไขการทำงานแบบ Work From Home กับพนักงานให้ชัดเจน
เช่น วัน-เวลา การเข้าออกงาน เวลาพักกลางวันที่ชัดเจน เหมือนกับการทำงานในออฟฟิศปกติ อย่างในบางบริษัทมีซอฟแวร์ที่ติดตั้งไปกับโน้ตบุ๊คหรือคอมพิวเตอร์ของพนักงาน เพื่อให้พนักงานสามารถลงเวลาเข้า-ออกการทำงานได้ อีกทั้งหัวหน้างานยังสามารถมอนิเตอร์หน้าจอของพนักงานได้ด้วย เช่น Jobcan, TimeMint, SmartTA, Jarviz App เป็นต้น
2. จัดเตรียมความพร้อมของ อุปกรณ์ Work From Home ของพนักงาน
ในหัวข้อนี้เราขอแยกมาเป็น 5 ส่วนเพื่อให้เห็นภาพกันได้ง่ายขึ้น
คอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊คพร้อมเชื่อมต่อ VPN สำหรับการทำงานนอกสำนักงาน
เพราะมีหลายบริษัทที่ยังใช้คอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะแบบเก่าอยู่ซึ่งอาจจะเป็นอุปสรรคในการทำงานนอกสถานที่ได้
ซอฟแวร์หรือโปรแกรมสำหรับการทำงานหรือจัดเก็บไฟล์งานที่สามารถแชร์ร่วมกับทีมงานหรือพนักงานที่เกี่ยวข้องได้
อย่างบริการของ Google ก็จะมี Google Drive ที่คุณสามารถจัดเก็บไฟล์งานต่างๆ ไว้เป็นโฟลเดอร์ พร้อมกับสามารถกำหนดสิทธิ์การเข้าถึงของแต่ละบุคคลได้ หรือแม้กระทั่งระบบ CRM บางเจ้าก็มีพื้นที่จัดเก็บไฟล์เอกสารได้เช่นกัน
ติดตั้งแอพพลิเคชั่นหรือแพลตฟอร์มที่สามารถ Tracking การทำงานของทีมงานได้
เช่น Trello, Clickup, Basecamp, Todolist ฯลฯ เพราะการ Follow up การทำงานของพนักงานเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งสำหรับการทำงานแบบ Work From Home
ฉะนั้นการใช้แอพพลิเคชั่นหรือแพลตฟอร์มเข้ามาช่วยอัพเดทงานที่ทำในแต่ละวัน ว่าอะไรที่ต้องทำ – กำลังทำอยู่ – ทำเสร็จแล้วของพนักงานแต่ละคน ก็จะช่วยให้หัวหน้าทีมหรือเจ้าของกิจการสามารถติดตามงานและวัดประสิทธิภาพการทำงานของพนักงานแต่ละคนได้ ข้อดีอีกประการของการใช้แอพพลิเคชั่นเหล่านี้ ก็คือจะช่วยปรับ Mind Set ของพนักงานให้พร้อมสำหรับการทำงานในแต่ละวัน สามารถจัดระเบียบการทำงานเหมือนการจด To Do List ที่ต้องทำในแต่ละวันแต่ละสัปดาห์ให้สำเร็จตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ ซึ่งนั่นก็ทำให้ประสิทธิภาพการทำงานของพนักงานแต่ละดีขึ้นได้อย่างแน่นอน
ติดตั้งโปรแกรมสำหรับการประชุมออนไลน์
ไม่ว่าจะเป็น Zoom, Discord, Google Meet, Slack หรือแม้กระทั่ง VDO Call ใน Line ก็ลองเลือกตามความถนัดและความเหมาะสมกับการใช้งานของทีมคุณ
เพิ่มสวัสดิการพิเศษจัดหาอินเตอร์เน็ตแบบ B2B หรือ Business Sim Card ให้กับพนักงานใช้ฟรี
หลายครั้งการทำงานผ่านระบบออนไลน์มักจะเกิดปัญหาติดขัด เนื่องจากระบบอินเตอร์เน็ตของพนักงานแต่ละคนนั้นมีศักยภาพไม่เท่ากัน ดังนั้น การจัดเตรียมอินเตอร์เน็ตที่มีคุณภาพเดียวกันหมดให้พนักงานได้ใช้งาน ก็น่าจะช่วยแก้ปัญหาการทำงานที่ติดขัดเนื่องจากอินเตอร์เน็ตไม่เสถียรได้
3. สนับสนุนเรื่องสุขภาพของพนักงาน
สุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีของพนักงานควรมีความสำคัญสูงสุดสำหรับองค์กรในช่วงเวลาที่ยากลำบาก เพราะปัญหาหนึ่งซึ่งหลายคนคิดว่าเป็นปัญหาใหญ่ในการ Work From Home คือเรื่องของสุขภาพ ไม่ว่าจะเป็นสุขภาพของจิตใจซึ่งเกิดจากความเครียด ความไม่มั่นใจมั่นคง หรือสุขภาพทางกาย ปัญหาของโรคระบาดหรือโรคที่เกิดจากการทำงานหนัก พักผ่อนน้อยระหว่างที่ต้อง Work From Home
ดังนั้นสิ่งที่คุณจะสร้างความมั่นใจและคลายความกังวลให้แก่พนักงาน สิ่งแรกคือ การทำประกันสุขภาพที่เกี่ยวกับการติดโรคระบาด หรือโรคร้ายต่างๆ ให้เป็นสวัสดิการแก่พนักงานเพิ่มเติม นอกจากนั้นการสร้างกิจกรรมเพื่อส่งเสริมให้พนักงานออกกำลังกายที่สามารถทำได้ที่บ้าน เช่น การวิ่งแบบ Virtual Run เก็บระยะการวิ่งแบบออนไลน์ ที่พนักงานสามารถวิ่งออกกำลังกายได้ที่บ้าน โดยอาจจะสร้างแรงจูงใจเป็นรางวัลเล็กๆ น้อยๆ ก็น่าจะเป็นกิจกรรมสนุกๆ ที่มอบให้พนักงานได้เป็นอย่างดี
4. สื่อสารกันให้น้อย แต่ชัดเจนมากขึ้น
บ่อยครั้งการ WFH อาจทำให้หัวหน้างานหรือเจ้าของธุรกิจตระหนกกับการทำงานในรูปแบบที่ไม่คุ้นเคย กังวลเรื่องความผิดพลาดคลาดเคลื่อนจากการที่ไม่ได้เจอหน้าเพื่อทำงานร่วมกัน หรือต้องทำตามขั้นตอนที่ไม่เคยมีมาก่อน จนนัดประชุมกันบ่อยและใช้เวลานานมากจนเกินไป คำแนะนำที่สำคัญที่สุดในช่วงเวลานี้ “การสื่อสารกันให้น้อยลงแต่ชัดเจนมากขึ้น” เพื่อเพิ่มเวลาในการทำงานที่มากขึ้นในแต่ละวัน
คุณอาจจะวางแผนการประชุมได้ทุกวัน เพื่ออัพเดทงานส่วนต่างๆ ของพนักงาน แต่ควรใช้เวลาไม่เกิน 1 ชั่วโมงหรือน้อยกว่านั้นก็จะดีที่สุด โดย Topic ในแต่วันคืออัพเดทง่ายๆ ว่า ‘ใคร – ทำอะไร – เมื่อไหร่ – อย่างไร หรือผลลัพธ์ที่ได้เป็นยังไง’ กับทีมและหัวหน้างาน และเพื่อการสื่สารที่ง่ายมากขึ้น คุณอาจจะให้พนักงานของคุณใช้อุปกรณ์เสริมเพื่อการสื่อสารกับทีมที่ชัดเจนมากยิ่งขึ้น เช่น ข้อมูลการทำ To Do List เพื่อบันทึกการทำงานใน Trello หรือมีตารางการทำ Working Timeline ในโปรเจ็กต์ต่างๆ ของพนักงานแต่ละคน
5. เพิ่มพูนศักยภาพการเรียนรู้และการพัฒนาทักษะที่สำคัญให้แก่พนักงาน
การ Work From Home ที่มีประสิทธิภาพและถูกจัดสรรเวลาการทำงานที่ดีแล้ว ทำให้คุณมีโอกาสที่ยอดเยี่ยมในการพัฒนาทักษะที่สำคัญต่างๆ ให้แก่พนักงานของคุณ อาจจะเป็นหลักสูตรเกี่ยวกับการพัฒนาทักษะต่างๆ ที่จำเป็นในสายงานของพนักงาน, หรือแม้กระทั่งการปลูกฝังความคิดเชิงบวกและวิธีแก้ไขให้กับพนักงานในช่วงเวลาที่ยากลำบาก หรือต้องเผชิญกับปัญหาต่างๆ การยกระดับทั้งทักษะและสุขภาพจิตใจของพนักงานที่มีอยู่
ในชั่วโมงของวิกฤติที่ดูว่าทุกอย่างจะยากเย็นและเต็มไปด้วยความไม่มั่นคง การมีงานและการได้ทำงานในองค์กรที่ไม่ใช่แค่อำนวยความสะดวกในการทำงานให้แก่พนักงาน แต่ยังช่วยสร้างความสุขกายสบายใจและสร้าง Value ในแง่มุมต่างๆ ให้กับพนักงาน น่าจะเป็นสิ่งที่สร้างแรงจูงใจในการทำงานของพนักงาน ไม่ว่าพวกเขาจะต้องเปลี่ยนแปลงรูปแบบการทำงานเป็นแบบ Work From Home หรือไหนก็ตาม ก็จะนำมาซึ่งผลลัพธ์ที่ดีและมีประสิทธิภาพสูงสุดได้อย่างแน่นอน
References: TDRI, Entrepreneur